07 มีนาคม 2553

การหารูปทรงของ GEOID โดยทฤษฎีขอบเขตของ STOKES

การหารูปร่างที่แท้จริงของ GEOID เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ พยายามค้นคว้าหามานาน ถ้าเรารู้ถึงรูปร่างที่แท้จริงของ GEOID ย่อมส่งผลทำให้เราสามารถรู้ถึง โครงสร้างภายในโลกของเรา เพราะโลกของเรามีมวลที่เกิดจากสสารหลายชนิดรวมกัน ในงานสำรวจทาง GEODESY รูปร่าง GEOID มีความเกี่ยวข้องในแง่ที่ว่า GEOID เป็นพื้นอ้างอิงทางดิ่ง นั่นคือ ความสูงภูมิประเทศจะอ้างอิงความสูงเหนือระดับ GEOID ขณะที่ พื้นอ้างอิงทางราบเราใช้รูปทรงของ Ellipsoid นั่นคือ ตำแหน่งพิกัดจะอ้างอิงบนรูปทรง Ellipsoid

หลายท่านอาจสงสัยว่า ทำไม พื้นอ้างอิงทางราบจึงใช้พื้นผิว Ellipsoid แทนที่จะเป็นผิว GEOID คำตอบก็คือ เนื่องจากพื้นผิว Ellipsoid มีลักษณะเป็นรูปทรงทางเรขาคณิต ทำให้มีกฎเกณฑ์ และสูตรสำหรับการกำหนดตำแหน่งได้มากกว่า GEOID ซึ่งมีรูปร่างที่ไม่มีสูตรทางคณิตศาสตร์ในการคำนวณอย่างแน่นอน เนื่องจากเราไม่สามารถทราบความหนาแน่นของมวลสารที่แน่นอนของโลก เนื่องจากความยุ่งยากและสลับซับซ้อนของวิธีการคำนวณหา GEOID บางประเทศจึงได้ใช้ระดับน้ำทะเลปานกลางเป็นผิวระดับอ้างอิงความสูง ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ GEOID ส่งผลให้พื้นอ้างอิงทางดิ่งของเรา แสดงลักษณะภูมิประเทศสูงต่ำในลักษณะที่บุคคลทั่วไปรับรู้ได้ (พื้นอ้างอิงทางดิ่งทำให้เรารู้การไหลของน้ำ เป็นตัวอย่าง)

การหารูปร่างของ GEOID โดยทฤษฎีขอบเขตของ STOKES อยู่ภายใต้สมมติฐานไม่มีมวลสารใดนอกพื้น GEOID ดังนั้นมวลสารของโลกเหนือ GEOID จะต้องถูกยุบสู่พื้น GEOID จึงทำให้สามารถที่จะคำนวณหา GEOID ได้จากสูตรของสโตกส์ (Stokes’ formula) ซึ่งเชื่อมโยงกับสูตรของบรุน (Brun’s formula) นั่นคือ ความสูงGEOID, N, (geoid undulation) เขียนเป็นสมการได้








ในการคำนวณความสูง GEOID ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งโดยการใช้สมการ (1) นั้นจะต้องใช้ข้อมูลความโน้มถ่วงต่อเนื่องทั่วทั้งบริเวณผิวโลก แต่ในทางปฏิบัตินั้นสามารถคำนวณในบริเวนพื้นที่จำกัด ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อการคำนวณ จึงต้องมีวิธีการที่สมเหตุสมผลมาทดแทนดังนี้ ประการแรกโครงสร้างความยาวคลื่นช่วงยาวของGEOID ขาดหายไป ซึ่งช่วงคลื่นยาวของ GEOID นี้สามารถคำนวณได้โดยใช้แบบจำลอง GEOID สากล, NEGM, ทดแทน ประการที่สองข้อมูลความโน้มถ่วงถูกวัดเป็นจุดตามแนวถนนทุกๆ 5- 10 กิโลเมตรโดยประมาณและข้อมูลเหล่านี้ขาดความต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องใช้การคำนวณแบบผลรวมอนุกรมแทนการอินทิเกรด ซึ่งจะได้โครงสร้างความยาวคลื่นช่วงปานกลางของ GEOID, NΔg, ส่วนของโครงสร้างความยาวคลื่นช่วงสั้นของ GEOID, NDEM, นั้นจะมาจากการใช้ DEM ที่มีความละเอียดเชิงพื้นที่ประมาณ 90 เมตรหรือสูงกว่า โครงสร้าง GEOID ส่วนนี้เกิดจากการใช้ DEM ในการคำนวณค่าแก้เนื่องจากสภาพภูมิประเทศ (terrain correction) บริเวณรอบตำแหน่งที่คำนวณหาค่า N

ในประเทศไทย ได้เริ่มมีการวิจัยเพื่อที่จะหา LOCAL GEOID ที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการวิจัยร่วมระหว่าง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และกรมแผนที่ทหาร โดยการใช้เทคนิค Remove and Restore หาค่า N โดยการเชื่อมโยงกับแบบจำลองGEOID สากล สภาพความโน้มถ่วงอนอมอลลี่ และความสูงจาก DEM ซึ่งสามารถแสดงความสัมพันธ์อย่างง่ายได้ดังสมการที่ (2)

N = NEGM + NΔg + NDEM (2)

และด้วยการเชื่อมโยงสมการที่ (2) เข้ากับข้อมูลการเดินระดับทั่วประเทศของกรมแผนที่ทหารอย่างเหมาะสมที่สุดในทางสถิติ คาดว่าจะทำให้ได้ LOCAL GEOID ที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย ส่งผลให้สามารถได้ค่า ระดับจากข้อมูล จากการรังวัด GPS ได้ในระดับ ต่ำกว่าระดับ +/- 10 ซม. โดยเฉลี่ย


ภาพ Animate แสดงรูปร่างของ GEOID










ภาพ Animate แสดงรูปร่างของ GEOID แบบหยาบ ที่ได้จากข้อมูลการวัดความโน้มถ่วงโดยดาวเทียมคู่แฝดที่ชื่อ GRACE (Gravity Recovery And Climate Experiment) ของประเทศสหรัฐอเมริกา (ที่มา: http://www.csr.utexas.edu/grace/gallery/animations/ggm01/index.html)

ดร.พุทธิพล ดำรงชัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น